เครื่องสำอางกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน ผู้หญิงน้อยคนมากที่จะไม่ชอบใช้เครื่องสำอาง และถึงจะไม่ชอบใช้เครื่องสำอางเพื่อเสริมความงามของตัวเอง แต่ผู้หญิงเกือบทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะใช้สกินแคร์เพื่อช่วยประทินผิว ดูแลและปกป้องผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นและมีสุภาพดี
เวลาที่ออกไปช้อปเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ ผู้หญิงเรามักนิยมเลือกใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่อ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค เพราะมันทำให้เราเชื่อมั่นว่าจะไม่ทำร้ายผิว ทั้งที่เราอาจไม่รู้เลยว่าเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือออร์แกนิคนั้นคืออะไรไร และแตกต่างกันอย่างไร
เครื่องสำอางและสกินแคร์ธรรมชาติกับออร์แกนิค ต่างกันอย่างไร?
เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ธรรมชาติ หรือ Natural Skincare and Cosmetics หมายถึง เครื่องสำอางที่ใช้ส่วนผสมที่มีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีสารสังเคราะห์ หรือสารเคมีในกระบวนการผลิตในระดับที่น้อยที่สุด ผู้ผลิตพยายามเลี่ยงการผลิตโดนผ่านกระบวนการต่างๆ ที่ใช้สารเคมีให้มากที่สุดเพื่อคงคุณค่าและความเป็นธรรมชาติไว้มากที่สุด
เครื่องสำอางธรรมชาติที่ควรมีใช้
ORIGINS เซรั่มบำรุงผิวหน้าออริจินส์ Dr. Andrew Weil for Origins Mega-Mushroom Relief & Resilience Advanced Face Serum ขนาด 50 มล.
ราคา 4,100 บาท พิเศษ 3,690 บาท (SAVE 10%)
CLARINS ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย Moisture-Rich Body Lotion ขนาด 200 มล.
ราคา 1,800 บาท พิเศษ 1,620 บาท (SAVE 10%)
KIEHL’S โฟมล้างหน้า Ultra Facial Oil-Free Cleanser ขนาด 150 มล.
ราคา 950 บาท พิเศษ 855 บาท (SAVE 10%)
HARNN ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย TROPICAL WOOD ขนาด 230 มล.
ราคา 800 บาท
ส่วนเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ออร์แกนิค หรือ Organic Skincare and Cosmetics นั้นหมายถึง เครื่องสำอางที่ใช้ส่วนผสมที่มีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติ 100% เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูกพืชพรรณที่นำมาใช้ในสกินแคร์ที่ต้องปลูกบนพื้นดินที่บริสุทธิ์และจะต้องไม่ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMO) ในกระบวนการผลิตนั้นจะต้องไม่ผ่านสารเคมี ยาฆ่าแมลง สารกันบูด หรือปุ๋ยเคมีต่างๆ โดยสิ้นเชิง เครื่องสำอางและสกินแคร์ทั้งสองแบบถือเป็นคลีนบิวตี้ที่กำลังเป็นกระแสนิยมไปทั่วโลก ยิ่งถ้าเครื่องสำอางหรือสกินแคร์แบบวีแกน (Vegan) ซึ่งไม่มีส่วนผสมหรือทดลองจากสัตว์ มักจะได้รับการยอมรับและนิยมอย่างสูงสุดแม้จะมีราคาแพงแต่ก็ถือว่าไม่เป็นการทารุณสัตว์และยังรักษ์โลกอีกด้วย
ออร์แกนิคไอเทมน่าใช้
KMA COSMETICS ลิปสติก Organic Rose Moisture Matte
ราคา 250 บาท พิเศษ 212 บาท (SAVE 15%)
TRILOGY ORGANIC ROSEHIP OIL ขนาด 45 มล.
ราคา 1,480 บาท
L’OCCITANE ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากและผิวกาย Organic Pure Shea Butter ขนาด 10 มล.
ราคา 490 บาท
COCORO HANAKO Organic Mama Belly Butter ขนาด 125 กรัม
ราคา 849 บาท
ด้วยเหตุนี้แบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ชั้นนำระดับโลกหลากหลายแบรนด์ได้หันมาการพัฒนาสูตรและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อผิว เน้นส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกันเพื่อความปลอดภัยและตอบรับกับกระแสความต้องการของผู้บริโภค
เมื่อเรารู้สึกวางใจกับเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเป็นธรรมชาติ ละออร์แกนิค เราเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าเวลาออกไปเลือกช้อปเครื่องสำอางและสกินแคร์ นอกจากคำว่า Natural Skincare หรือ Certified Organic แล้ว เราอาจไม่เคยอ่านดูฉลากส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง และมีส่วนผสมตัวไหนที่เป็นอันตรายต่อผิวกันบ้าง
วันนี้ Central Inspirer จึงขอชวนคุณผู้หญิงหันมารู้จักกับ 9 สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผิว ครวหน้าหากคุณออกไปหาซื้อเครื่องสำอางและสกินแคร์ชิ้นใหม่จะได้สังเกตุดูว่ามีสารเหล่านี้ผสมอยู่หรือไม่ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าค่ะ
9 สารเคมีอันตรายในเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่คุณอาจไม่รู้
1. สารปรอท (Mercury)
พบมากในเครื่องสำอางและสกินแคร์ประเภทที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวใส ช่วยให้สีผิวขาวขึ้นไว ลดฝ้า กระ และลดสิวได้อย่างรวดเร็ว เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีคุณสมบัติประเภทนี้ร้อยละ 20% จะมีส่วนผสมของสารปรอทสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิว สารปรอทถือเป็นสารต้องห้าม ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข หากต้องการให้ผิวขาวใส แล้วฝืนใช้ หรือไม่สังเกตุว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีส่วนผสมของสารปรอท หากหยุดใช้ผิวจะคล้ำลงกว่าเดิมจนเป็นสีดำอมเทา อาจเกิดอาการแพ้ เกิดฝ้ากระถาวร ผิวบางลง และหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน สารปรอทอาจซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำลายตับและไต ก่อให้เกิดโรคโลหิตจาง และทำลายระบบประสาทส่วนกลาง หากผู้ใช้เป็นสตรีตั้งครรภ์ สารปรอทจะถุฏส่งไปสู่ทารก ทำให้เด็กที่เกิดมามีภาวะพิการทางสมองได้
2. สารไฮรโดรควิโนน (Hydroquinone)
ไฮโดรควิโนน เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยฟอกสีผิว ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือกดกระบวนการทางเคมีของเซลล์สร้างเม็ดสี หรือ Melanocyte โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี หรือ Melanin เมื่อเม็ดสีลดลง จึงส่งผลให้ผิวดูขาวขึ้น ทำให้ฝ้าจางลงไปได้อย่างรวดเร็ว สารไฮโดรควิโนนจึงมักถูกผสมเพื่อเป็นครีมรักษาฝ้าซึ่งจัดว่าเป็นยาใช้ทาภายนอกที่ใช้เพื่อการรักษาเท่านั้น และได้ถูกสั่งห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีวางจำหน่ายทั่วไป การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนนสูง และใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานอาจเกิดอาการระคายเคือง แสบร้อน มีตุ่มแดง สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวอาจคล้ำมากขึ้น ผิวหน้าบาง และไวไวต่อแสงแดด แถมเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
3. สารสเตียรอยด์ (Steroids)
แม้ว่าจะเป็นสารอันตรายที่ห้ามใส่ในเครื่องสำอางและสกินแคร์ แต่ก็สามารถพบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ผิวหน้าดูขาวใสขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยให้สิวหายไว การใช้สารสเตียรอยด์ในความเข้มข้นสูง ใช้ผิดวิธี หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานอาจสร้างให้เกิดผลข้างเขียงกับร่างกายทั้งภายนอนและภายใน เช่น มีผดผื่นขึ้นได้ง่าย เมื่อหยุดใช้สิวจะเห่อขึ้นมามากกว่าเดิม ผิวแตกลายเป็นรอยแดง หากมีการใช้งานในผู้ป่สยเบาหวานอาจทำให้ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ รวมทั้งไปกดภูมิคุ้มกันโรคจนทำให้ร่างกายอ่อนแอ
4. กรดเรติโนอิก (Retinoic Acid)
กรดเรติโนอิก กรดเรตินอล หรือกรดวิตามินเอ ป็นกรดที่มีผลรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดสี ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการแบ่งเซลล์และเร่งการผลัดเซลล์ของเยื่อบุผิว หรือผิวในชั้นอิพิทีเรียล (Epitherial) ลดการเคลื่อนย้ายเม็ดสีมาที่เซลล์ผิวหนัง และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในการสร้างเม็ดสี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์กดการสร้างและป้องกันการสร้างสิวอุดตัน หรือ Comedones ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ดังนั้นกรดเรติโนอิกต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาเท่านั้น สำหรับการใช้ผลิตเครื่องสำอาง หรือครีมบำรุงผิวต่างๆ ถือเป็นสารอันตราย มักพบได้ในยารักษาสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว หากนำมาใช้เองอาจเกิดอาการผิวหนังลอก เป็นผื่นแดงได้
5. สารตะกั่ว (Lead)
พบมากในเครื่องสำอางโดยเฉพาะลิปสติก สารตะกั่วจัดเป็นสารอันตรายห้ามใช้ เพราะหากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการปวดบิดในท้องอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เกิดอาการท้องผูก หรือไม่ก็ถ่ายเป็นเลือดจนอาจมีอาการซีด และหมดแรง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างรวดเร็ว รวมทั้งลดอัตราการสร้างเม็ดเลือดแดง สารตะกั่วเมื่อมีอยู่ในร่างกายมากจนเกินไปจะทำให้ระบบประสาททั่วร่างกายผิดปกติ
6. สารโซเดียมซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulphate)
มักพบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย อาทิ สบู่ ยาสีฟัน และแชมพูสระผม สารโซเดียมซัลเฟตสามารถแทรกซึมลงไปในชั้นผิวได้ถึง 5 – 6 มม.ส่งผลให้ผิวหนังบางลงจนทำให้สารพิษอื่นๆ สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังจนเกิดอาการแพ้ได้
7. แป้งทัลคัม (Talcum)
คือแป้งที่มีส่วนผสมของทัลคัม หรือแร่ใยหินที่พบมากแป้งฝุ่น อายแชโดว์ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น หากสูดดมเข้าสู่ร่างกาย สามารถทำให้เกิดโรคปอด มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมหมวกไตชนิดหายาก และมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งรังไข่ถึง 30–60% ในกลุ่มของผู้หญิงที่ใช้แป้งฝุ่นทาตัวที่ผสม Mineral Talc เป็นประจำ
8. สาร PVP(Polyvinyl Pyrrolidone)
สารพบได้ในสเปรย์จัดแต่งทรงผม ใช้ผสมในน้ำยาจัดแต่งทรงผม มูสและเจลใส่ผม สารโซเดียมซัลเฟตเป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลาย สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งการสูดดม และการซึมเข้าทางผิวหนัง ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ผมร่วง เกิดการแพ้หรืออักเสบบริเวณหน้าผาก ข้างหู และคอ
9. สารพาราเบน (Paraben)
เป็นสารกันเสีย (Preservative) ชนิดหนึ่ง ที่มีการใช้อย่างกว้างขวางและแพร่หลายในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สกินแคร์ โรลออนระงับกลิ่นกาย แชมพูสระผม และครีมนวดผม มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งเชื้อรา และแบคทีเรียต่างๆ ไม่ให้เจริญเติบโตในผลิตภัณฑ์ สารในกลุ่มพาราเบนที่นิยมใช้กันบ่อยๆ คือ Methylparaben, Ethylparaben, Propylparaben, Butylparaben และ Isobutylparaben สารพาราเบนช่วยยับยั้งสิ่งสกปรกได้ดี แต่ทำให้เกิดการสะสมของสารภายในร่างกาย และซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันยังมีข้อสงสัยว่าสารพาราเบนอาจสามารถกระตุ้นให้เกิดการเป็นมะเร็งเต้านม รวมทั้งอาจทำเกิดอาการแพ้ และระคายเคืองในคนที่แพ้สารนี้อีกด้วย
ปัจจุบันนี้ยังมีเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่ไม่ได้มาตรฐานและแอบลักลอบใส่สารอันตรายวางขายอยู่เกลื่อนกลาดในท้องตลาด ดังนั้นเมื่อคิดจะซื้อเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ชนิดใดควรอ่านฉลากที่ระบุส่วนผสม ควรพิจารณาและตรวจเช็คเลข อย. เพื่อความปลอดภัย อย่าเห็นกับของถูก หรือสรรพคุณที่เกินจริงมากจนเกินไป เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อผิว ยังสามารถเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นะคะ