เช้าหรือเย็น… ช่วงไหนดีกันแน่ เราทุกคนรู้กันดีว่าการออกกำลังกายมีข้อดีมากมาย หลักๆ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง อัลไซเมอร์ มะเร็ง และโรคอ้วนแล้ว ยังช่วยลดความเครียด สุขภาพจิตดี แถมรูปร่างก็ดีอีกต่างหาก แต่หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าแล้วควรจะออกกำลังกายช่วงไหน กระแสหนึ่งบอกว่าเช้าดีกว่า ขณะที่อีกกระแสหนึ่งก็บอกว่าตอนเย็นต่างหากที่ดีกว่า ฉบับนี้เรามีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก
ตอนเช้าดีอย่างไร ตอนเย็นดีอย่างไร แล้วตอนไหนดีกว่ากัน?
งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าการออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ความรู้สึกอยากอาหารลดน้อยลง และทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนักได้ดีกว่า หลับง่ายขึ้น ช่วงเวลานอนเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเอง แถมการนอนหลับยังช่วยลดความเครียด ซึ่งความเครียดนี่แหละที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อน้ำหนักเราด้วย ขณะที่คนออกกำลังกายช่วงเย็นมีแนวโน้มจะนอนหลับได้ยากกว่า ระบบเผาผลาญทำงานได้มากขึ้น และทำให้สามารถเผาผลาญพลังงานในช่วงระหว่างวันที่เรากินอาหารเข้าไปแทนที่จะเผาผลาญช่วงกลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ฝึกได้อย่างสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มที่จะช่วยสร้างนิสัยรักการออกกำลังกายได้ง่าย
ช่วงเย็นอุณหภูมิร่างกายและสิ่งแวดล้อมรอบๆ จะสูงขึ้นส่งผลให้การทำงานของเอนไซม์และกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย ดังนั้นช่วงบ่าย 4 – 5 โมงเย็นจึงเป็นเวลาที่อุณหภูมิอยู่ในช่วงเหมาะกับการออกกำลังกาย โอกาสที่จะเกิดอาการบาดเจ็บน้อยกว่าเมื่อออกกำลังกายในช่วงบ่าย เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้กล้ามเนื้ออบอุ่นและมีความยืดหยุ่นมากกว่า รวมทั้งความทนทานของร่างกายและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เพิ่มสูงขึ้น 5 – 10% ก็ช่วยลดโอกาสการเกิดอาการบาดเจ็บได้ การออกกำลังกายช่วงเย็นให้สารเอ็นโดรฟินหลั่งแค่ 20 นาทีก็ช่วยทำให้รู้สึกสบายผ่อนคลายจากการทำงานหนักมาทั้งวันได้
แม้จะมีงานวิจัยต่างๆ ออกมามากมายถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายทั้งตอนเช้าและตอนเย็น แต่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนที่สามารถยืนยันได้ว่าช่วงไหนดีกว่ากัน แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันตรงกันก็คือ การออกกำลังกายไม่ว่าจะเวลาไหนก็ล้วนส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจทั้งนั้น ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เพอร์เฟกต์ที่สุด ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการออกกำลังกายของแต่ละคน สภาพร่างกาย ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตว่าจะเหมาะกับช่วงไหนมากที่สุด แล้วจัดตารางออกกำลังกายให้สอดคล้องกับเงื่อนไขเหล่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ออกกำลังกายจนรู้สึกว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จำเป็นในแต่ละวัน
Did You Know?
คนทุกวัยสามารถออกกำลังกายได้ โดยเฉพาะในวัยกลางคนขึ้นไป การออกกำลังยิ่งมีความจำเป็นมาก การวิจัยพบว่า หลังจากอายุ 30 ปีไปแล้ว คนเราจะมีพลังลดลงร้อยละ 1 ทุกๆ ปี หมายความว่าเมื่ออายุถึง 60 ปี เราจะมีพลังลดน้อยลงถึงร้อยละ 30 จากที่เคยมีเมื่ออายุ 30 ปีซึ่งการออกกำลังกายสามารถช่วยชะลอความเสื่อมที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้ให้ช้าลงได้ คนวัยกลางคนขึ้นไปจึงควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่าง ขา แขน และลำตัว ด้วยการว่ายน้ำ วิ่ง เดินเร็ว ขี่จักรยาน ที่สำคัญควรออกกำลังกายให้มีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 90 – 110 ครั้ง ต่อนาทีโดยประมาณ
1. เสื้อกีฬา 1,290 บาท จาก Adidas
2. กางเกงกีฬา 790 บาท จาก Adidas
3. นกหวีด 130 บาท จาก Molten
4. ถุงเท้ากีฬา (แพ็ค 3 คู่) 220 บาท จาก Fila
5. นาฬิกาจับเวลา 1,150 บาท จาก Muji
6. รองเท้ากีฬา รุ่น Classic SL Jewel 2,190 จาก K-Swiss
ที่มา: http://www.manager.co.th
TIPS: มือใหม่หัดออกกำลังกาย
การเริ่มต้นอาจเป็นเรื่องยากที่สุด ค่อยๆ สร้างนิสัยรักการออกกำลังกายทีละนิด จัดเวลาที่สะดวกที่สุดให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และแบ่งเป็นครั้งละ 30 นาที นอกจากนี้ยังมีวิธีเล็กๆ น้อยๆ เช่น หัดตื่นเช้ากว่าเดิม 1 – 2 ชั่วโมง ชงเครื่องดื่มอุ่นๆ อย่างโกโก้ หรือช็อกโกแลตไขมันต่ำ กินรองท้อง กับแซนด์วิชสักชิ้น แล้วออกกำลังกายเบาๆ อย่างเดินเล่นในหมู่บ้าน เดินขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ และที่ง่ายที่สุดคือทำตัวเองให้กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ เพิ่มกิจกรรมให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในแต่ละวันมากที่สุด
Credit
Text: JJ
Photo: Thanut
CENTRAL PREMIERE – ISSUE 175