สำหรับคุณแม่มือใหม่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงดูทารกน้อยให้เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย สมบูรณ์และแข็งแรง ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกน้อยล้วนเป็นหน้าที่ของคุณแม่โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นดูแลเรื่องอาหาร ความสะอาด หรือเรื่องสุขภาพ ความเป็นไปทุกอย่างต้องผ่านมือ และผ่านหูผ่านตาคุณแม่ทั้งหมด
หลังจากการคลอด มีความจำเป็นต้องสร้างเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้กับลูกน้อยด้วยการฉีดวัคซีนที่จำเป็น เพราะวัคซีนจะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน และปกป้องลูกน้อยของคุณจากโรคต่างๆ ที่อาจเกิดกับเด็กเล็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันได้ เด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด สำหรับคุณแม่มือใหม่ วันนี้ Central Inspirer จึงขอมาตอกย้ำอีกครั้งว่าคุณแม่ต้องพาลูกน้อยไปรับวัคซีนให้ตรงเวลาที่กำหนด รวมทั้งขอแนะนำให้คุณแม่รู้จักวัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนจำเป็นสำหรับลูกน้อยว่ามีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
วัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย
มีวัคซีนพื้นฐานตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2561 ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้ที่คุณแม่ต้องพาลูกน้อยไปทำการฉีดตามกำหนดเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูก ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้าขึ้น วัคซีนสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะวัคซีนเสริมเพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น มาดูกันว่าเด็กเล็กควรได้วัคซีนพื้นฐานแต่ละช่วงวัยอะไรบ้าง
1. วัคซีนวัณโรค (Bacillus Calmette-Guerin หรือ BCG)
เป็นวัคซีนช่วยป้องกันวัณโรคที่จะฉีดให้กับทารกแรกคลอด โดยฉีดบริเวณที่ไหล่ซ้ายหรือสะโพก ส่วนมากมักฉีดที่โรงพยาบาลก่อนพาทารกกลับบ้าน
2. วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine หรือ HBV)
เป็นวัคซีนที่ช่วยในการป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งควรฉีดให้กับทารกตั้งแต่แรกเกิด 1 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ
3. วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (Diphtheria-Tetanus-Pertussis หรือ DPT)
เป็นวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ยาดทะยัก และไอกรน ควรฉีดให้กับทารกตามช่วงอายุ โดยเริ่มตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน 4-6 ปี และ 11-12 ปี โดยฉีดเฉพาะวัคซีนป้องกันบาดทะยัก และคอตีบ
4. วัคซีนโปลิโอ (Polio Vaccine)
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดรับประทาน หรือ Oral Polio Vaccine (OPV) และชนิดฉีด ซึ่งควรให้ตามช่วงอายุของทารก ตั้งแต่ 2, 4, 6 เดือน 1 ปี 6 เดือน และ 2 ปี 6 เดือน ตามลำดับ
5. วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (Measles-Mumps-Rubella หรือ MMR) / วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis หรือ JE)
เป็นวัคซีนป้องกันกลุ่มโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และไข้สมองอักเสบเจอี ที่ควรฉีดตามช่วงอายุของเด็ก คือ 1 ปี และ 2 ปี 6 เดือน
6. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
เป็นวัคซีนสำคัญที่ควรฉีดในเด็กปีละครั้ง ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 18 ปี สำหรับเด็กเล็ก ในปีแรก ควรฉีด 2 เข็ม และห่างกัน 4 สัปดาห์
7. วัคซีนเอชพีวี (Human Papilloma Virus หรือ HPV)
เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี อันเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถป้องกันได้ร้อยละ 70-90 ชนิด 2 สายพันธุ์ จะฉีดให้เฉพาะเด็กผู้หญิงเท่านั้น และชนิด 4 สายพันธุ์จะเพิ่มป้องกันหูดอวัยวะเพศได้ด้วย ซึ่งใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ช่วงวัยที่เหมาะสมที่แนะนำในการฉีด คือ 9 ปี ขึ้นไป
วัคซีนเสริมเพิ่มภูมิต้านทานโรคอื่นๆ
ในปัจจุบัน มีโรคภัยอื่นๆ อีกมากมายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น วัคซีนเสริมหรือวัคซีนทางเลือกจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรค ข้อดีของวัคซีนเสริม คือ มีวัคซีนชนิดรวมฉีดเข็มเดียวแทนการแยกฉีดหลายเข็ม เพื่อให้ลูกน้อยของคุณเจ็บตัวน้อยครั้ง คุณแม่และคุณพ่อไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ โดยวัคซีนเสริมต่างๆ ที่แนะนำให้พาลูกน้อยไปฉีดมีดังนี้
1. วัคซีนโรต้า (Rota Virus Vaccine)
วัคซีนโรต้ามีด้วยกัน 2 ชนิด คือ Monovalent (Human) เป็นวัคซีนที่ให้เด็กรับประทาน โดยให้รับประทาน 2 ครั้ง เมื่อทารกน้อยมีอายุประมาณ 2 และ 4 เดือน และชนิด Pentavalent (Bovine- Human) ให้ทารกรับประทาน 3 ครั้ง เมื่ออายุมีประมาณ 2, 4 และ 6 เดือน
2. วัคซีนนิวโมคอคคัส (Pneumococcal Polysaccharide Vaccine)
เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ PCV โดยฉีดให้กับทารกในช่วงอายุ 2, 4 และ 6 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งในช่วง 12-15 เดือน และ PS23 ฉีดให้เด็กในช่วงอายุ 2 ปี ขึ้นไป
3. วัคซีนฮิบ (Haemophilus Influenzae Type B)
เป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี ควรฉีดให้กับทารกน้อยตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน
4. วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella Vaccine/Chickenpox Vaccine)
เป็นวัคซีนที่ควรฉีดในเด็กตามช่วงอายุ ตั้งแต่ 12-18 เดือน และ4-6 ปี ตามลำดับ รวมทั้งหมด 2 เข็ม
5. วัคซีนตับอักเสบ เอ (Hepatitis A Vaccine)
เป็นวัคซีนที่ควรฉีดให้กับเด็กเล็ก 2 เข็ม โดยฉีดเข็มแรกในช่วงอายุ 1 ปี ขึ้นไป และเข็มที่ 2 ห่างกัน 6- 12 เดือน
6. วัคซีนไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกตัวนี้ควรฉีดให้กับเด็กในช่วงอายุ 9 ปี ขึ้นไป ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 6 และ 12 ในผู้ที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน
โดยปกติทารกคลอดใหม่ กุมารแพทย์ หรือทางโรงพยาบาลจะมีสมุดบันทึกการฉีดวัคซีนออกมาให้คุณแม่ เพื่อให้เก็บรักษา และทราบถึงหมายกำหนดการในการฉีด และให้จดบันทึกวัคซีนที่ฉีดไปแล้ว ถือเป็นสมุดบันทึกที่มีความสำคัญสำหรับลูกน้อยที่คุณแม่ไม่ควรทำหาย เพราะรายละเอียดด้านสุขภาพของลูกน้อยจะอยู่ในนั้นทั้งหมด ทุกครั้งที่พาลูกน้อยไปฉีดวัคซีน อย่าลืมพกสมุดบันทึกไปด้วย และต้องมั่นใจว่าก่อนไปฉีดยา ลูกน้อยไม่มีอาการไข้ หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน หากมีอาการที่ต้องสงสัย ควรแจ้งกุมารแพทย์ หรือพยาบาลล่วงหน้าก่อนการฉีดด้วยนะคะ
กว่าลูกน้อยจะเติบใหญ่จากวัยทารก มาสู่วัยเด็ก ต้องเจอกับวัคซีนมากมายที่ช่วยให้เข้าเติบใหญ่ขึ้นอย่างแข็งแรงและสมบูรณ์ คุณแม่อาจต้องผ่านความหวาดเสียวแทนลูก สงสารลูกที่ต้องเจ็บตัวจากการฉีดวัคซีน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย ให้เขาเติบโตได้อย่างปลอดภัย และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันจากโรคภัยต่างๆ และสำหรับคุณแม่คุณใหม่ พลาดไม่ได้และลืมไม่ได้ที่จะพาทารกน้อยไปรับวัคซีนที่จำเป็นตามช่วงเวลาที่คุณหมอนัดนะคะ Have a happy & healthy baby คะ
ขอบคุณข้อมูลจาก: paolohospital.com/ pidst.or.th
Picture credit: pinterest.com