แจก 7 เมนูบำรุงตับ & วิธีป้องกันไขมันพอกตับ 2025

เมื่ออาหารการกินเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น มีอาหารที่หลากหลายเข้ามาสู่ความสนใจ และความนิยมบริโภคของผู้คนทั่วไปมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารปิ้งย่าง หมูกระทะ อาหารฝรั่งแบบจังก์ฟู้ด พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ ไม่นับกาแฟเย็นรสชาติอร่อยสูตรเข้มข้น ขนมนมเนย เค้กอร่อยๆ ครัวซองต์ ครอฟเฟิล หรือเครปช็อกโกแลตกล้วยหอมที่ต้องลิ้มลองช่วงบ่ายๆ อาหารมากมายที่เรารู้สึกเอร็ดอร่อย และสนุกกับบริโภคอยู่ทุกวัน อันนำมาซึ่งรูปร่างที่สมบูรณ์ขึ้นแบบแทบไม่รู้ตัว อีกทั้งโรคภัยต่างๆ ที่ตามมาเนื่องจากการตามใจปาก หรือรับประทานอาหารที่อร่อย แต่ไม่มีประโยชน์ใดๆ

โรคร้ายโรคหนึ่ง ที่มาพร้อมกับการรับประทานอย่างหนัก และกำลังเกิดขึ้นกับหลายคน โรคนั้นคือ ไขมันพอกตับ คนที่รักการรับประทาน มีน้ำหนักมาก อาจเจอะเจอกับโรคไขมันพอกตับโดยไม่ร้ตัว 

ด้วยความห่วงใย วันนี้ Central Inspirer จึงอยากเชิญชวนคุณมาคุยกันเรื่องของโรคไขมันพอกตับว่ามันคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด เราจะทราบได้อย่างไรว่าเรากำลังเป็นโรคนี้หรือไม่ แล้วเราจะมีวิธีไหนเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคไขมันพอกตับ

“โรคไขมันพอกตับ” คืออะไร

FATTY LIVER

โรคไขมันพอกตับ หรือ Fatty Liver Disease หรือภาษาทางการแพทย์ Hepatic Steatosis คือ การสะสมของไขมันในตับมากเกินไป ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ Triglyceride หรือการมีปริมาณน้ำตาลส่วนเกินในร่างกายมากเกินความต้องการ จนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน หรือ Lipogenesis พูดง่ายๆ คือ ไขมันพอกตับเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หากไปพบแพทย์แล้วทำการตรวจร่างกาย อาจพบการทำงานผิดปกติของตับ โรคนี้อาจไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด แต่ไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบ เพราะจะนำมาซึ่งโรคร้ายอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดัน และทำให้ตับเสื่อมสภาพได้ 

ในคนปกติระดับน้ำตาลจะถูกควบคุมโดยอินซูลิน (Insulin) ซึ่งผลิตมาจากตับอ่อน หรือ Pancreas เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น อินซูลินจะออกฤทธิ์ที่ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมันเพื่อให้ใช้น้ำตาล

ในภาวะที่ดื้อต่ออินซูลิน หรือ Insulin Resistance ซึ่งอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ (Genetic Predisposition) หรือจากพฤติกรรม (Imbalance Lifestyle) การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันมากเกินไป (High Carbohydrate and High Fat Diet) จะทำให้เซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เมื่อภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ตับมีการสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ

BAD HABIT

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  • จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease) ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์ของบุคคลนั้น
  • ไม่ได้เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease) โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย หรือการบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรือการบริโภคอาหารต่างๆ มาเป็นเวลานาน  เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง หรือไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น

อาการของไขมันพอกตับ

อาการของคนที่มีสภาวะไขมันพอกตับถ้าจะว่าไปแล้ว แทบไม่มีอาการอะไร แต่จะมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นอาการที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอาการแสดงออก เมื่อมีไขมันพอกตับ สะสมอยู่เป็นปริมาณมาก จะทำให้เซลล์ตับมีการบวมและ 10-20% จะเกิดอาการตับอักเสบได้ โดยจะมีอาการ เตือนดังต่อไปนี้

  • มีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย และไม่มีแรง
  • รู้สึกท้องอืด จุกแน่น ไม่สบายท้อง หลังทานอาหาร
  • เจ็บชายโครงด้านขวา
  • มีอาการคลื่นไส้ 
  • นอนไม่ค่อยหลับ พักผ่อนได้น้อย
  • ระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ

วิธีการตรวจโรคไขมันพอกตับ

SEE DOCTOR

หากอยากทราบว่าตัวคุณเองกำลังเริ่มมีอาการของโรคไขมันพอกตับหรือไม่ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย เพราะไขมันพอกตับอาจไม่แสดงอาการใดๆ หากคุณห่วงใยสุขภาพ อยากไปตรวจหาโรคไขมันพอกตับ แพทย์จะตรวจด้วย 4 วิธี ดังต่อไปนี้

  • เจาะเลือดดูการทำงานของตับ (Liver Function Test) 

การเจาะเลือด แล้วเอาผลเลือดไปตรวจดูว่ามีค่าการอักเสบ (Inflammation) สูงกว่าปกติหรือไม่ ในคนที่มีภาวะไขมันพอกตับอาจพบระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติร่วมด้วย

  • การตรวจอัลตราซาวนด์

การตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวนด์บริเวณช่องท้องจะพบว่าตับอาจมีขนาดโตขึ้นและมีลักษณะขาวขึ้นเมื่อเทียบกับไตและม้าม

  • การตรวจวัดไขมันพอกตับ

ตรวจวัดไขมันพอกตับด้วยวิธีสแกนด้วยเครื่อง (Dexa Scan Whole Body) จะช่วยให้เห็นผลว่าตับมีอาการผิดปกติ หรือภาวะไขมันพอกตับหรือไม่

  • Fibroscan 

เป็นการตรวจความยืดหยุ่นพร้อมกับประเมินไขมันสะสมภายในเนื้อตับเพื่อสำรวจความเสียหายของเนื้อเยื่อจากการมีไขมันไปพอก

หากคุณรู้สึกขยาด ไม่อยากเกิดโรคไขมันพอกตับ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากเปลี่ยนแปลงวิธีการรับประทานอาหาร อยาก Refresh ตัวเองใหม่ แนะนำให้คุณปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคไขมันพอกตับ

1. ควบคุมปริมาณการรับประทานอาหาร

1 DIET

เริ่มต้นด้วยการควบคุมปริมาณ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทุกวัน รวมทั้งลดปริมาณอาหารที่รับประทานในทุกมื้อ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (High Fat) เช่น นม เนย ไอศกรีม เค้ก ชีส กะทิ อาหารทะเล หรือไข่แดง  รวมทั้งพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป บอกลาเค้ก ขนมหวาน เพลาๆ เรื่องปิ้งย่าง น้ำอัดลม ลาเต้เย็น ของชอบต่างๆ เบามือได้เลยค่ะ

2. รับประทานผักและผลไม้สด

2 FRESH FRUITS & VEGETABLES

เน้นการรับประทานผัก ผลไม้สด ถั่วต่างๆ ทีให้ไขมันดี และธัญพืชที่มีเมล็ด เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และเมล็ดงา ผักบางชนิดก็ช่วยเร่งกระบวนการกำจัดพิษ หรือ Detoxification ออกจากตับ เช่น ผักใบเขียว ผักตระกูลกะหล่ำ และกระเทียม เป็นต้น 

3. เน้นรับประทานไขมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูง

3. PROTEIN FRESH

บอกลาอาหารที่เพิ่มไขมัน หากรับประทานอาหารที่มีไขมัน เน้นทานไขมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด เม็ดอัลมอนด์ น้อยหน่า น้ำมันปลาโอเมก้า3 ปลาแซลมอน หรือปลากระพงแดง รวมทั้งเลือกรับประทานเนื้อที่ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลาต่างๆ เป็นต้น

4. ดื่มน้ำสะอาดวันละมากๆ

4 WATER

น้ำสะอาดบริสุทธิ์นอกจากจะช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่นสดใสแล้ว การดื่มน้ำสะอาดในบริมาณที่พอเพียงทุกวันจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในการขับถ่าย และช่วยลดน้ำหนักได้ โดยปกติผู้หญิงควรดื่มวันละประมาณ 2.7 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 11.5 แก้ว ส่วนผู้ชายควรดื่มวันละประมาณ 3.7 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 15.5 แก้ว หากคุณเป็นคนไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ ลองพกแก้วน้ำติดตัว แล้วเตือนตัวเองให้จิบน้ำบ่อยๆ ฝึกให้เป็นนิสัย ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เดี๋ยวคุณก็จะสามารถดื่มน้ำได้วันละมากๆ อย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเองค่ะ

ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์

XIAOMIXIAOMI เครื่องกรองน้ำอัจฉริยะ ควบคุมผ่าน Water Purifier 1000G App Mi home

ราคา 16,990 บาท 

DOULTONDOULTON เครื่องกรองน้ำ รุ่น TCPSCARBKDF

ราคา 6,990 บาท

PHILIPS WATERPHILIPS WATER เหยือกกรองน้ำช่วยลดสารตะกั่วความจุเหยือก รุ่น AWP2937WHT ขนาด 3.4 ลิตร

ราคา 2,490 บาท พิเศษ 1,559 บาท (SAVE 37%)

BRITABRITA ขวดกรองน้ำดื่ม BRITA Fill & Go 

ราคา 790 บาท 

SIGGSIGG กระบอกน้ำสเตนเลสสุญญากาศ รุ่น H&C One 0.5 ลิตร สี Mastard

ราคา 1,300 บาท พิเศษ 910 บาท (SAVE 30%)

5. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

5 NO ALCOHOL

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดโรคตับแข็ง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ ในปริมาณมากๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ แถมอาจก่อให้เกิดโรคพิษสุราเรื้อรังได้อีกด้วย

6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

6 RUNNING

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมาควบคู่กับการลดอาหาร หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การออกกำลังกายมีความจำเป็นอย่างมาก และควรออกกำลังกายทุกๆ วัน วันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง เข้ายิม ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เล่นกีฬาประเภทใดก็ได้ ขอให้ได้เหงื่อ สำหรับคนเริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ อดทนออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 วันร่างกายของคุณจะมีความเคยชิน แข็งแรง และมีสุขภาพดีมากขึ้น การออกกำลังกายช่วยป้องกันโรคไขมันพอกตับอย่างแน่นอน 

เครื่องออกกำลังกายคุณภาพ ที่น่าสนใจ

YESOULYESOUL S3 Spinning Bicycle จักรยานออกกำลังกาย

ราคา 15,990 บาท 

AMUROAMURO ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น AMURO T532 (ต่อ ZWIFT ได้​)

ราคา 37,900 บาท พิเศษ 14,290 บาท (SAVE 62%)

REEBOKREEBOK รีบอค มินิ สเต็ป

ราคา 3,990 บาท พิเศษ 2,590 บาท (SAVE 35%)

XTIVEPROXTIVEPRO ดัมเบลหกเหลี่ยม 1 คู่ ปรับน้ำหนักได้ 2-in-1 ขนาด 30 กม. ขนาด 48×2.7 ซม.

ราคา 1,659 บาท พิเศษ 1,190 บาท (SAVE 28%)

SPALDINGSPALDING ลูกบาส Spalding TF-1000 LEGACY – สีน้ำตาล เบอร์ 6

ราคา 2,950 บาท 

เมื่อคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ พร้อมปฏิบัติตัวตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้นแล้ว Central Inspirer มี 7 เมนูอาหารอร่อย ทำง่ายที่ช่วยบำรุงตับมาฝากกันค่ะ

7 เมนูอร่อยช่วยบำรุงตับ

1. ซุปแครอท 

CARROT SOUP

เป็นหนึ่งในเมนูอาารบำรุงตับที่ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน ให้รสชาติอร่อย มีคุณค่าและโภชนาการสูง เนื่องจากแครอทอุดมไปด้วยด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินเค อีกทั้งยังมีกรดโฟลิก ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี และทองแดง สามารถฟื้นฟูและดูแลสุขภาพตับของคุณให้แข็งแรงได้ดี

ส่วนประกอบ

  • เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมใหญ่สับ 1 หัวใหญ่
  • แครอท ปอกเปลือก สับหยาบ 900 กรัม
  • กระเทียมสับ 3 กลีบ
  • ใบไทม์แห้ง 1 ช้อนชา
  • น้ำสต๊อกผัก4 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น ½ ช้อนชา
  • พริกไทยขาวป่น ½ ช้อนชา
  • วิปครีม 4 ช้อนโต๊ะ
  • ผงปราปริก้า สำหรับตกแต่ง
  • หอมซอย สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

  • ใส่เนยและหอมใหญ่ลงผัดในหม้อจนหอมใหญ่เริ่มใส ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 นาที ปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย
  • เติมแครอท กระเทียมและใบไทม์ลงไป ผัดต่อประมาณ 30 วินาที จนกระเทียมเริ่มเป็นสีเหลืองทอง
  • เติมน้ำสต๊อกลงไป ต้มจนเดือดแล้วหรี่ไฟอ่อน เคี่ยวต่ออีกประมาณ 15 นาทีจนแครอทนุ่มดี
  • เมื่อแครอทนิ่มดีแล้ว ใช้เครื่องปั่นมือถือปั่นซุปจนเนียนดี ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยตามชอบ
  • เวลาเสิร์ฟ ตักซุปใส่ชาม ราดด้วยวิปครีม 1 ช้อนโต๊ะ โรยด้วยผงปาปริก้าและต้นหอมซอย เสิร์ฟร้อน

2. แซลมอนสเต็ก 

2 SALMON STEAK

เมนูอร่อยที่ใครๆ ก็โปรดปราน แถมมีโภชนาการสูง ทานแล้วไม่อ้วน ไขมันจากปลาแซลมอนยังช่วยบำรุงตับ ไม่สร้างไขมันที่จะเกิดอาการไขมันพอกตับได้อีกด้วย

ส่วนประกอบ

  • ปลาแซลมอนสำหรับทำสเต๊ก (น้ำหนักประมาณ 340 กรัม/ชิ้น) 
  • เกลือทะเลป่นหยาบ
  • พริกไทยดำบดหยาบ
  • น้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil 2 ช้อนโต๊ะ
  • เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 2 กลีบ
  • น้ำมะนาวเหลือง 1 ลูก
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกแดงป่น ¼ ช้อนชา
  • พาร์สลี่ย์สับ สำหรับแต่ง

วิธีทำ

  • หมักปลาแซลมอนด้วยเกลือและพริกไทยดำป่น พักทิ้งไว้สักครู่
  • นำกระทะก้นแบนขึ้นตั้งไฟกลางค่อนข้างสูง ใส่น้ำมันและเนยลงไป
  • ค่อยๆวางเนื้อปลาลงไปทอด ประมาณ 5 นาที แล้วจึงกลับด้าน
  • เติมกระเทียม น้ำมะนาว น้ำผึ้ง และพริกแดงป่น
  • ทอดต่อไปอีก 5 นาที หรือจนเนื้อปลาสุกดี
  • คอยเอาช้อนตักซอสในกระทะราดบนเนื้อปลาแซลมอนเรื่อยๆ เพื่อให้เนื้อปลาดูดซับรสชาติเข้าไป
  • นำจัดใส่จาน โรยด้วยพาร์สลี่ย์สับ พร้อมเสิร์ฟ 

หมายเหตุ: เมนูนี้สามารถแนมด้วยผักชนิดต่างๆ ต้ม เช่น แครอท ถั่วแขก บลอคโคลี่ มันฝรั่งต้ม หรือมันฝรั่งบดก็ได้

3. ปลากะพงน้ำแดง

SONY DSC

เมนูนี้นอกจากคุณจะได้ความอร่อยจากเนื้อปลากระพงที่มีวิตามินบี 1 และบี 12 ที่ช่วยในการบำรุงตับ บำรุงสมอง มีรสชาติอร่อย รับประทานกับข้าวกล้อง หรือข้าวสวยร้อนๆ อิ่มอร่อยและมีประโยชน์

ส่วนประกอบ

  • เนื้อปลากะพงหั่นเป็นชิ้น ประมาณ 100 กรัม
  • ขิงอ่อนซอย ½ ถ้วย
  • กระเทียม 4-5 กลีบ ปอกเปลือก
  • พริกชี้ฟ้าแดง 2-3 เม็ด
  • หมูสามชั้นหั่นเส้นเล็กๅ 7-8 ชิ้น
  • ผักบุ้ง 5-6 ต้น
  • แป้งมันฮ่องกง
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • ซีอิ๋วขาว 1-2 ช้อนโต๊ะ
  • น่ำมันหอย 1-2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • พริกไทย ตามชอบ
  • น้ำสต๊อกไก่ ⅛ ถ้วย
  • น่ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • เหล้าจีน 1-2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  • นำเนื้อปลากระพงล้างให้สะอาด หั่นชิ้น หมักซีอิ้วขาว และพริกไทยป่น 
  • นำไปผสมไข่ที่ตีไว้กับแป้งมันฮ่องกง จากนั้นนำไปทอดให้เหลืองกรอบ ตั้งขึ้น พักทิ้งไว้
  • ลวกผักบุ้ง แล้วพักทิ้งไว้
  • ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ผัดหมูสามชั้นกับขิงซอยให้สุกหอม ใส่กระเทียมตมลงไป
  • ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส น้ำมันหอย เหล้าจีน น้ำมันงาน และเติมน้ำซุปตามลงไป ผัดให้ส่วนผสมเข้ากัน
  • นำแป้งมันฮ่องกงละลายน้ำเพียงเล็กน้อย แล้วเทลงไปในส่วนผสม ผัดให้เข้ากันและมีความเหนียวขึ้น
  • จัดจานด้วยการนำผักบุ้งวางไว้บนจาน ตามด้วยเนื้อปลากระพงที่ทอดแล้ว
  • ราดด้วยส่วนผสมที่ผัดทิ้งไว้ พร้อมเสิร์ฟ

4. ข้าวกล้องผัดสมุนไพร

4 FRIED RICE

เมนูอาหารจานเดียวที่มีรสชาติอร่อย เป็นเมนูทำง่าย แต่ถูกปากคนไทย เป็นเมนูที่ทำจากข้าวกล้องและมีส่วนผสมของเนื้อปลาแซลมอนที่ช่วยบำรุงตับ ทำง่ายๆ ได้รสชาติอร่อย แถมมีคุณประโยชน์ล้นจาน ดีต่อสุขภาพ และดีต่อตับค่ะ

ส่วนประกอบ

  • แซลมอนรมควัน หรือเนื้อปลาทู หั่นเต๋า ½ ถ้วย
  • พริกขี้หนูซอย 5 เม็ด
  • ตะไคร้ซอย 1 ต้น
  • หอมแดงซอย 2 หัว
  • กระเทียมไทยสับ 4-5 กลีบ
  • เกลือป่น ½-1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย  ½-1 ช้อนชา
  • น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือตามชอบ
  • ผักชีฝรั่งซอย 2 ใบ
  • ใบมะกรูดซอย 2 ใบ
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด 1-2 ช้อนโต๊ะ
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด ประมาณ 7-8 เม็ด
  • มะนาว
  • ต้นหอม
  • ผักชีโรยหน้า

วิธีทำ

  • นำกระทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืช พอร้อนให้ใส่เนื้อปลาแซลมอน หรือเนื้อปลาทูหั่นเต๋าลงผัดจนปลาเริ่มสุก
  • ใส่พริกขี้หนูซอย ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย และกระเทียมสับลงผัดให้หอม
  • ใส่ข้าวกล้องลงไปผัดให้ข้าวแห้งและเต้นได้แล้วเกลี่ยข้าวไปไว้ข้างกระทะ ตอกไข่ไก่ลงไปตรงกลาง ยีไข่แดงพอแตก รอจนไข่เริ่มสุกแล้วนำข้าวมาผัดรวมกับไข่
  • ปรุงรสด้วยเกลือป่น น้ำตาลทราย และน้ำปลา ผัดให้เข้ากัน ชิมรสชาติ ปิดไฟ
  • ใส่ผักชีฝรั่งซอย ต้นหอมซอย และใบมะกรูดซอย ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน เสิร์ฟพร้อมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด มะนาว ต้นหอม และโรยผักชี

5. ลาบเห็ดรวม

5 LARB HED RUAM

เห็ดนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพตับเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเห็ดฟาง เห็ดหอม และเห็ดเข็มทอง สามารถรักษาโรคตับ กระเพาะ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง และยังเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

ส่วนประกอบ

  • เห็ดเข็มทอง 150 กรัม
  • เห็ดฟาง 150 กรัม
  • เห็ดหอม 150 กรัม
  • เห็ดชิเมจิ 150 กรัม
  • น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • พริกป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผักชีฝรั่งซอย ½ ถ้วย
  • ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมแดงซอย ¼ ถ้วย
  • พริกแห้งทอด ตามชอบ
  • ใบสะระแหน่ ตามชอบ 

วิธีทำ

  • นำเห็ดเข็มทอง เห็ดฟาง เห็ดหอม และเห็ดชิเมจิ ไปล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้น แล้วนำไปลวกจนสุก
  • ใส่น้ำปลาลงในชามผสม น้ำมะนาว น้ำตาลทราย พริกป่น และข้าวคั่ว คนให้เข้ากันจนน้ำตาลทรายละลาย
  • ใส่หอมแดงซอย และผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน 
  • ใส่เห็ดที่ลวกเตรียมไว้ลงไป คนให้เข้ากัน
  • ตักใส่จาน โรยใบสะระแหน่ และพริกแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ รับประทานคู่กับผักสดต่างๆ

6. ถั่วเขียวต้มน้ำตาล

6 GREEN BEAN

หนึ่งเมนูของหวานที่ทำง่าย แถมรับประทานแล้วสดชื่น อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะถั่วเขียวจะอุดมไปด้วยโปรตีนที่สูงแล้ว ยังมีไฟเบอร์สูงช่วยล้างสารพิษในตับได้ ควบคุมระดับน้ำตาล และมีแร่ธาตุต่างๆที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี วิตามินซี วิตามินบี วิตามินอี และวิตามินเค

ส่วนประกอบ

  • ถั่วเขียว 200 กรัม
  • น้ำเปล่าประมาณ 6 ถ้วยตวง หรือ 1,500 มล.
  • น้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลทรายแดง ประมาณ 150 กรัมหรือน้อยกว่า
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา
  • ใบเตย 2 ใบ

วิธีทำ

  • นำถั่วเขียวดิบ ล้างน้ำให้สะอาด นำไปแช่น้ำ 1 คืนหรือ 8-10 ชั่วโมง จากนั้นสะเด็ดน้ำออก และนำไปล้างน้ำเปล่าอีกรอบ แล้วพักไว้
  • นำถั่วเขียวเทใส่หม้อสำหรับต้ม ตามด้วยน้ำเปล่า ต้มด้วยไฟแรง รอให้น้ำเดือด แล้วค่อยๆ ช้อนฟองออก จากนั้นใส่ใบเตยลงไป
  • ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน ต้มถั่วเขียวไปเรื่อยๆ ประมาณ 20 นาที จากนั้นค่อยๆ ใส่น้ำตาลลงไป คนให้ละลาย และได้รสชาติหวานตามชอบ 
  • ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อตัดรสชาติให้มีความเข้มข้นและกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น คนให้เข้ากันอีกเล็กน้อยอย่างเบามือ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟ

7. มันฝรั่งต้มหรือมันฝรั่งนึ่ง

7 BOILED POTETOES 1

อาจดูเป็นเมนูง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก แต่การรับประทานมันฝรั่งต้มหรือนึ่ง สามารถเป็นอาหารว่าง หรือเป็นเมนูเครื่องเคียงที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย มันฝรั่งช่วยบำรุงตับได้เป็นอย่างดี สามารถปรุงรสในระหว่างทำเมนูนี้ได้ตามที่ชื่นชอบ มันฝรั่งอุดมไปด้วยแคลเซียมที่มีส่วนช่วยในการลดอาการบวมและอาการอักเสบของตับได้

ส่วนประกอบ

  • มันฝรั่ง ปอกเปลือก หรือไม่ปอกเปลือก จำนวนตามชอบ 
  • เกลือปรุงอาหาร (เกลือทะเล หรือเกลือสินเธาว์) 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่าสำหรับต้ม

วิธีทำ

  • ล้างหัวมันฝรั่งให้สะอาดให้เหลือคราบดิน
  • ปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้น 
  • ใส่มันฝรั่งลงในหม้อ เติมน้ำให้ท่วมมันฝรั่ง
  • ใส่เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ต้มมันฝรั่งไปต้มด้วยไฟแรง จนกระทั่งน้ำเดือด
  • ลดไฟลงเหลือระดับปานกลาง แล้วปิดฝา ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที หากเป็นมันฝรั่งหัวใหญ่จะใช้เวลาต้มนานกว่าหัวเล็ก
  • ทดสอบว่ามันฝรั่งสุกหรือไม่ ด้วยการใช้ส้อมจิ้มชิ้นมันฝรั่งที่ใหญ่ที่สุดในหม้อ ถ้าสามารถกดทะลุไปโดยไม่ต้องออกแรงมากถือว่าสุกพร้อมรับประทาน ถ้ายังจิ้มไม่ได้ให้ลดไฟลงระดับต่ำสุดแล้วต้มตออีก 5-10 นาที

โรคไขมันพอกตับอาจดูเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงนัก แต่หากคุณปล่อยตัว เผลอไผลตามใจปาก รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรือสังสรรค์ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากจนเกินไป เมื่อไขมันเริ่มมาพอกตับ แล้วจะตามมาซึ่งโรคร้ายอื่นๆ ในอันดับต่อไป การดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ พร้อมเพลาๆ อาหารที่ทำลายสุขภาพสักหน่อย คุณจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพดี และมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขกายสบายใจไปอีกนานๆ Good Health Good Life ค่ะ Central Online ขออวยพร


ขอบคุณข้อมูลจาก: bangkokhospital.com / siphhospital.com / ifit4health.com

Picture credit: pinterest.com / pantip.com / kapook.com