อีกหนึ่งปัญหาผิวที่น่าเครียดและน่ากังวลสำหรับสาวๆ คือ ปัญหาผิวแตกลาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย ปัญหาผิวแตกลายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนอ้วน กันคนผอม หรือคนตั้งครรภ์ ผิวแตกลายก็เกิดขึ้นได้ และก็มักเป็นความลับ เป็นปัญหาผิวที่สาวๆ ไม่อยากโชว์ใคร ทำให้ไม่สามารถใส่เสื้อผ้าโชว์เรือนร่างบริเวณที่ผิวแตกได้ ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจกับสาวเกือบทุกคนที่ประสบปัญหานี้
วันนี้ Central Inspirer ชวนคุณผู้หญิงมารู้จักปัญหาของผิวแตกลายว่ากิดขึ้นจากสาเหตุใด และเรามีวิธีป้องกันและรักษาได้อย่างไร มาดูกันเลยค่ะ
ผิวแตกลาย คืออะไร
ผิวแตกลาย Stretch Marks หรือ Striae คือ รอยแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังของคนเรายืดหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินแตกตัวออก และเมื่อผิวหนังสมานตัวกัน รอยแตกลายก็จะเกิดขึ้น โดยแรกๆ รอยแตกลายจะมีสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำตาลแดง หรือสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับสีผิว และอาจจะมีลักษณะนูน ทำให้รู้สึกคัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสีจะจางลง และจะเป็นร่องแคบๆ ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ผิวแตกลายแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้
- ผิวแตกลายระยะแรก หรือรอยแตกลายแดง (Striae Rubra)
เกิดจากการยืดตัวของร่างกายที่รวดเร็วเกินไป รอยแตกลายแดงจะมีหลอดเลือดอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้มีสีแดง สีม่วง ชมพูอมม่วง หรือสีน้ำตาลเข้ม โดยจะเห็นเป็นเส้นสีแดง ม่วง บนผิวหนังได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิ โดยผิวแตกลายชนิดนี้จะนูนกว่าผิวปกติ และมีอาการคันร่วมด้วย ผิวแตกลายแดงนั้นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ง่ายกว่ารอยแตกลายขาว
- ผิวแตกลายระยะหลัง หรือรอยแตกลายขาว (Striae Alba)
เป็นรอยที่เกิดมานานและหลอดเลือดก็จะค่อยๆ จางหายไปจนกลายเป็นสีขาว เป็นร่องบุ๋มลึกลงไปบนผิวหนัง มักจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดผิวแตกลายแบบแรกเริ่มจางลง รอยแตกลายแบบนี้จะรักษาให้เลือนหายไปจากผิวได้ยากกว่ารอยแตกลายแดง
ผิวแตกลายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว หญิงตั้งครรภ์ ไปจนถึงผู้ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว โดยรอยแตกลายนั้นจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นกลาง และมักจะเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก และหน้าอก เป็นต้น
ประเภทของผิวแตกลาย
นอกจากการแบ่งเป็นระยะแล้ว บางครั้งจะมีการแบ่งเป็นประเภทด้วย ดังนี้ค่ะ
- Striae rubra – ลักษณะเป็นรอยแตกเป็นเส้นสีแดง หรือกล่าวคือเป็นระยะแรกตามที่กล่าวไปแล้วในตอนตั้น เส้นสีแดงอาจจะมีการนูนขึ้นจากผิวได้
- Striae alba – มีลักษณะเป็นรอยแตกลายเส้นขนานสีขาว ซึ่งเป็นรอยแตกลายที่ยุบตัวลงบนผิวแล้ว จะมีลักษณะเป็นเส้นสีขาว ตามที่เล่าไปตอนต้น
- Striae distensae – จะมีลักษณะเป็นเส้นขนานจากการยืด จะเป็นเฉพาะบุคคลที่สูงเร็วเกินไป
- Striae atrophicans – มีลักษณะเป็นลายเส้นขนาน คุณแม่หลังคลอดใหม่ๆ หรือคนที่น้ำหนักตัวเพิ่มเร็วเกินไป จะเป็นกัน
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาผิวแตกลาย
ผิวแตกลายจะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังยืดหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นบริเวณหน้าท้อง ต้นขา สะโพก แขน หน้าอก และน่อง ซึ่โดยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยแตกลายง่ายขึ้น ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของสรีระร่างกายอย่างรวดเร็วในช่วงวัยรุ่น
- การตั้งครรภ์
- การเพิ่มขึ้น หรือลดลงของน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- การออกกำลังกายแบบ Weight Training ที่ทำให้กล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ออกกำลังกายและใช้สารกระตุ้น เช่น Anabolic steroids
- พันธุกรรม โดยคนในครอบครัวมีผิวแตกลาย
- มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคคุชชิ่ง (ผู้ป่วยจะอ้วนผิดปกติ) หรือโรคมาร์แฟน (ผู้ป่วยจะผอมผิดปกติ)
วิธีป้องกันผิวแตกลาย
ปัญหาผิวแตกลายเป็นผัญหาผิวที่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่มีหลายวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยแตกลายหนักได้ หรือช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผิวแตกลายเท่านั้น โดยสามารถทำได้ดังนี้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้อ้วนจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการอดอาหาร หรือกินยาลดน้ำหนัก เพราะทำให้เสี่ยงเกิดการโยโย่
- เลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ สังกะสี และซิลิคอน จะช่วยเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงได้
- หากอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ พยายามตั้งเป้าและควบคุมน้ำหนักให้ขึ้นช้ ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
- ดื่มน้ำให้มากๆ และบ่อยๆ ประมาณ 1.5-2 ลิตร ทุกวัน
12 วิธีช่วยบำบัดและรักษาผิวแตกลาย
สำหรับคนที่มีผิวแตกลาย มีอยู่หลากหลายวิธีที่คุณสามารถกู้ผิวที่มีความลายให้ดูเจือจางลง ทั้งที่ดูแลรักษาได้ด้วยตัวเองและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หรือสถาบันเสริมความงาม
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยทำให้รูปร่างของเรากระชับ ดูดี และทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้นแล้ว การออกกำลังกายยังช่วยทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุลและช่วยลดการเกิดปัญหาผิวแตกลายได้
2. พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว
การที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วมีผลต่อการยืดหด และผิวแตกลายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ผู้ออกกำลังกายอย่างหนักโดยเฉพาะการทำ Weight Training และหญิงตั้งครรภ์
3. ดื่มน้ำสะอาด และรับประทานอาหารที่ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
การดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์เป็นปริมาณที่เพียงพอในทุกวัน โดยควรดื่มวันละประมาณ 2.7 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 11.5 แก้ว จะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น บำรุงผิว ขจัดของเสียออกจากร่างกาย แถมทำให้ผิวที่แตกลายไม่แห้ง นุ่นขึ้น และเบาบางลง อีกทั้งการรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น ข้าวกล้อง น้ำมันมะกอก อะโวคาโด แตงโม และกลุ่มปลาทะเลต่างๆ เป็นต้น จะมีส่วนช่วยให้ริ้วรอยแตกลายดูเจือจางลงได้อีกด้วย
ดื่มน้ำสะอาดทุกวัน
PHILIPS WATER เครื่องกรองน้ำโหมดการกรองแบบคู่ให้การกรองและการกรองที่บริสุทธิ์ รุ่น RO AUT2015
ราคา 29,590 บาท พิเศษ 15,290 บาท (SAVE 48%)
BRITA ถังกรองน้ำ BRITA Flow สีโปร่งแสง
ราคา 2,690 บาท พิเศษ 2,421 บาท (SAVE 10%)
BARRIER เหยือกรองน้ำ SMART
ราคา 1,690 บาท
4. ทาครีมบำรุง หรือครีมลดรอยแตกลายเป็นประจำ
สำหรับผู้ที่มีผิวแตกลาย แนะนำให้ทาครีมบำรุงผิวที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลายทุกวันเป็นประจำก่อนนอนและในตอนเช้า หรือทาทุกครั้งหลังอาบน้ำ เพื่อช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายที่ผิวหนัง อย่าปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งเป็นอันขาด เพราะมันอาจจะลุกลามกว้างขึ้นมากกว่าเดิมก็ได้
ครีมทาผิวแตกลายคุณภาพ
PALMER’S Massage Lotion for Stretch Marks 250ML.ครีมบำรุงผิว สูตรโกโก้บัตเตอร์
ป้องกันลดรอยแตกลาย ผิวชุ่มชื้น ขนาด 250 มล.
ราคา 530 บาท พิเศษ 390 บาท (SAVE 26%)
ENDOTA AUSTRALIA Moisture Rich Belly Butter ครีมบำรุงและป้องกันการแตกลายผิวบริเวณหน้าท้อง
ระหว่างช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด ขนาด 170 มล.
ราคา 1,350 บาท
PALMER’S เนื้อบาล์ม บำรุงและลดรอยแตกลาย สูตรโกโก้บัตเตอร์ ทาเคลือบหน้าท้อง ขนาด 125 กรัม
ราคา 570 บาท พิเศษ 420 บาท (SAVE 27%)
DR. SPILLER มานารู บอดี้ ครีม ขนาด 250 มล.
ราคา 2,590 บาท
5. การใช้กรดผลไม้ AHA / BHA
อีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยกูผิวแตกลายได้ ด้วยการใช้กรดผลไม้ AHA และ BHA ทาบริเวณรอยแตกลายเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมกับกระตุ้นและซ่อมแซมการสร้างเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวดูเนียนขึ้น แต่อาจมีผลข้างเคียงคือผิวจะแห้ง ลอก หรือระคายเคืองง่าย
6. บำรุงผิวด้วยน้ำมันงา
ใช้น้ำมันงามาทาผิวบริเวณที่เป็นรอยแตกเป็นประจำเช้าและเย็นก่อนการอาบน้ำ โดยให้ชโลมทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำอย่างนี้เป็นประจำ น้ำมันงาจะช่วยให้รอยแตกดูลดเลือนลง
7. ว่านหางจระเข้
สำหรับพืชพันธุ์ที่หลายบ้านปลูกไว้ทั้งเป็นพืชมงคล และสามารถใช้ประโยชน์ได้สารพัด นั่นคือ ว่าหางจระเข้ ที่มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาปัญหาผิวแตกลายได้ เพียงใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ที่ล้างยางออกแล้ว นำมาทาบริเวณผิวแตกลายเป็นประจำทุกเช้าและเย็น จะช่วยทำให้รอยแตกลายค่อยๆ ดูจางลงได้
8. สครับผิวเป็นประจำ
การขัดหรือสครับผิวเป็นประจำช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และกระตุ้นเซลล์ผิวหนังใหม่ให้ขึ้นมาทดแทนผิวเดิม ในระหว่างอาบน้ำก็ให้ใช้ใยบวบ หรือใยขัดผิวไปด้วย ถ้าจะให้ดีก็ลองหาผลิตภัณฑ์สครับผิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติและมีประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ผิวได้ดี นำมาใช้ขัดหรือสครับผิวบริเวณที่มีปัญหา สครับผิวเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ปัญหาผิวแตกจะดีขึ้นได้ค่ะ
ผลิตภัณฑ์และไอเทมสครับผิวน่าใช้
AESOP สครับผิวกาย Geranium Leaf Body Scrub ขนาด 180 มล.
ราคา 1,200 บาท
PHUTAWAN อินทรี บอดี้ สครับ เลมอนกราส ออแกนิค by ภูตะวัน ขนาด 320 กรัม
ราคา 380 บาท
TROPICANA ครีมขัดผิวน้ำมันมะพร้าว สูตรไม่มีพาราเบน ขนาด 250 กรัม
ราคา 250 บาท
MANICARE ใยขัดตัว
ราคา 295 บาท พิเศษ 251 บาท (SAVE 15%)
MANICARE ถุงมือขัดตัว
ราคา 495 บาท พิเศษ 421 บาท (SAVE 15%)
MANICARE แปรงขัด+นวดหลัง รุ่น M67500
ราคา 795 บาท พิเศษ 676 บาท (SAVE 15%)
9. ใช้ยาทาแก้ผิวแตกลาย
เป็นยาทาในกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ ที่แนะนำให้ใช้คือ เรตินเอ (Retin A) ให้เลือกใช้ความเข้มข้น 0.025% หรือ 0.05% หลังจากอาบน้ำเสร็จให้ขัดหรือสครับผิวก่อน แล้วเช็ดตัวให้แห้ง รอให้แห้งสนิทสักประมาณ 10 นาที บีบเรตินเอใส่นิ้วมือแล้วนำมาทาบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก แบบไม่ต้องลงครีมบำรุงหรือโลชั่น โดยให้ทำเฉพาะก่อนเข้านอนและทำวันเว้นวัน รอยแตกลายจะนุ่นเนียน และเจือจางลง
10. รักษาด้วยวิธี Dermaroller
เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยทำลายพังผืดที่หลุมบนผิวหรือรอยที่เป็นปัญหา ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง จึงช่วยรักษารอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ ส่วนมากจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว จึงช่วยทำให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น แต่ต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุกๆ 2 สัปดาห์ ติดต่อกันประมาณ 5-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
11. เลเซอร์รอยแตกลาย
การรักษาผิวแตกลายด้วยเลเซอร์นี้จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ปัญหานี้หายไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งเลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสีรอยแตกลายให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกติ เลเซอร์สร้างผิวใหม่ และเลเซอร์แบบรักษารอยแดงหรือรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด ที่น่าสนใจคือ Fraxel Laser ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้ว และ V-Beam Laser ที่ช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือมีสีชมพู แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง โดยทำห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์ จนกว่ารอยแตกลายจะค่อยๆ จางลงไป สามารถรักษาได้ทั้งรอยแตกลายในระยะแรกและระยะหลัง
12. รักษาด้วยวิธีการ Carboxytherapy
การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น และยังช่วยสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ต้องการได้อีกด้วย วิธีนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อสลายไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยังสามารถนำมาใช้รักษาผิวแตกลายได้ด้วย โดยอาศัยเทคนิคการฉีดก๊าซที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นการฉีดตื้นๆ เข้าไปเพียงชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนัง ไม่ได้ฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวเหมือนการฉีดสลายไขมัน การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง ติดต่อกันทุกสัปดาห์
หากอาการไม่ดีขึ้นทำอย่างไรดี?
หากลองทำตามที่มาดามบอกด้านบนทั้ง 12 วิธีแล้วยังไม่ดีขึ้น คำแนะนำคือรีบไป “ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง” ทันที โดยเขาจะช่วยวินิจฉัย และตอบคำถามได้หลายเรื่องค่ะ
- หาสาเหตุที่ทำให้ผิวแตกลาย
- เข้ารับคำแนะนำในการจัดการและทำให้รอยจางลง
- ทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะบุคคล
ขอบคุณข้อมูลจาก: kapook.com/vogue.co.th/palmmade.com
Picture credit: pinterest.com