ใกล้เข้าสู่หน้าหนาวกันแล้วนะหนุ่มๆ เปลี่ยนซีซั่นทั้งทีก็ถือโอกาสเปลี่ยนทรงผมไปด้วยเลย เพื่อเป็นการต้อนรับเดือนใหม่และเพิ่มความคูลให้กับตัวคุณเอง ดังนั้น ในวันนี้มาดามขน 15 ทรงผมสำหรับมาเป็นไอเดียให้คุณแล้ว จะมีทรงไหนกันบ้างนั้นตามมาดูกันเลย
ทรงที่ 1 – The Slick back (สลิคแบ็ค)
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
มาเริ่มกันด้วยทรงผม Slick back กันก่อนเลย เพราะไม่พูดถึงไม่ได้ เป็นหนึ่งในทรงผมที่ไม่ว่าคุณจะตัดซีซั่นไหน รับรองว่ารอดแน่นอน โดยทรงจุดเด่นของทรงนี้คือการปาดผมไปด้านหลังนั่นเอง สำหรับคนดังที่ทำทรงนี้จนเป็นซิกเนเจอร์ก็คือนักฟุตบอลอย่าง David Beckham นั่นเอง
ทรงที่ 2 – The Mullet
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
ทรงต่อมาเรียกว่า Mullet เป็นอีกทรงที่กร้าวใจ และเท่สุดๆ ถ้าใครนึกภาพไม่ออกว่าทรงนี้เป็นอย่างไร ให้นึกถึงทรงผมของพระเอกในเรื่อง Crow Zero โดยจุดเด่นของทรงนี้จะอยู่ที่การตัดผมด้านข้างออก และปล่อยให้ผมด้านหลังนั้นยาวลงมานั่นเอง ซึ่งตรงด้านข้างนี้ หากคุณอยากเพิ่มความเป็นแบดบอยให้มากขึ้นไปอีก อาจจะแกะลายเพิ่ม ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ทรงที่ 3 – The Curtains (แสกกลาง)
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
เป็นทรงที่หลายๆ คนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีกับทรงผมแสกกลางหรือ The Curtains เป็นทรงผมสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะตัดทรงผมแบบไหนดี เพราะมันเข้ากันได้แทบจะในทุกๆ คนนั่นเอง อย่างคนที่ตัดแล้วเท่สุดๆ ก็อย่าง Leonardo Carpaccio ที่เคยตัดไว้ในอดีตนั่นเอง โดยจุดเด่นของทรงนี้ก็อย่างที่ทราบกันดีคือจะเป็นการแบ่งผมออกเป็นสองฝั่งตามในภาพนั่นเอง เป็นทรงที่เข้าถึงง่าย ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกๆ วัน
ทรงที่ 4 – The Buzz Cut
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
ทรงผมต่อมานี้จะเหมาะกับหนุ่มที่ชอบความคล่องตัวนั่นก็คือทรง The Buzz Cut นั่นเอง ซึ่งเจ้าทรงนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงที่การตัดผมสั้นแต่ไม่ถึงกับเกรียนจนติดหนังหัวนะ และพื้นที่ในการออกแบบให้ทรงผมนั้นไปในแบบที่ต้องการ โดยสามารถทำได้ถึง 7 แบบเลย หากใครสนใจว่ามีสไตล์ไหนบ้าง สามารถคลิ้ก ที่นี่ เพื่อไปชมกันได้เลย ถ้าจะให้ยกตัวอย่างคนดังที่ตัดทรงนี้แล้วกร้าวใจสุดๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น น้องต่อ ธนภพ กับซีรีส์ฮอร์โมน และดาราระดับฮอลลี่วู้ดอย่าง Keanu Reeves จากภาพยนตร์ Speed นั่นเอง
ทรงที่ 5 – The Comb (หวีเสยแสกข้าง)
ขอบคุณภาพจาก: tootsale
ถ้าใครที่อยากได้ลุคที่เป็นทางการสักหน่อยในช่วงหน้าหนาวนี้ทรง The Comb เหมาะกับคุณเป็นอย่างมาก เป็นหนึ่งในทรงที่มีความคลาสสิคและอยู่เหนือกาลเวลาจริงๆ ไม่ว่าจะซีซั่นไหน ปีไหน ทรงนี้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลย อีกทั้งยังมีข้อดีที่สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์ได้หลากหลายอีกด้วย ถ้าจะออกมาดูดีที่สุดต้องไว้หนวดเคราแบบในภาพด้วย ก็จะยิ่งช่วยทำให้คุณดูดีขึ้นไปอีก
ทรงที่ 6 – The French Crop
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
สำหรับทรงผมต่อมานี้ถูกเรียกว่า French Crop ซึ่งเป็นทรงผมที่เหมาะสำหรับคุณผู้ชายที่ไม่ชอบไว้ผมยาวรุงรัง และต้องการให้เส้นผมนั้นสามารถดูแลรักษาได้ง่าย โดยจุดเด่นของทรงผมนี้คือหน้าม้าที่มีขนาดสั้นมาปรกบริเวณหน้าผากเพียงเล็กน้อย ด้านหลัง และด้านข้างผมจะสั้นมาก ข้อดีของการตัดแบบนี้นอกจากดูแลรักษาง่ายแล้ว มันยังจัดการได้ง่ายอีกด้วย สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ทำให้เข้ากับสถานการณ์ได้ง่าย ไม่ว่าจะไปทำงานหรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ถ้าใครนึกถึงทรงนี้ไม่ออกก็ให้นึกถึงพระเอกในเรื่อง Peaky Blinder ได้เลย ตามรูปประกอบที่มาดามนำมา
ทรงที่ 7 – The Two Block 70/30
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
สำหรับทรงผมต่อมานี้เรียกได้ว่าเป็นทรงผมที่เท่มากๆ อีกเช่นกันกับ Two Block 70/30 หรือก็คือการตัดผมแบบ Two Block แต่แบ่งผมด้านข้างและด้านหลังไม่เท่ากันนั่นเอง ซึ่งเป็นทรงผมที่เข้ากับผู้ชายโซนเอเชียสุดๆ ภาพรวมของทรงนี้บอกได้ว่าเท่มากๆ หากเซ็ตผมได้อย่างถูกต้อง ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ก็ให้นึกถึงน้องไบรท์ วชิรวิชญ์ เพราะเจ้าตัวทำทรงนี้นั่นเอง ตามภาพประกอบที่มาดามนำมาเลย
ทรงที่ 8 – The Crew Cut
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
มาต่อกันด้วยทรงผมที่เต็มไปด้วยสเน่ห์ ความคลาสิค และความเนี้ยบในตัวเองอย่าง Crew Cut นั่นเอง ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ The Comb และ The Buzzcut แต่จะมีจุดเด่นนั่นก็คือการไล่ระดับผมนั่นเอง โดยเริ่มจากผมด้านบนที่ตั้งตรงและค่อยๆ สั้นลงๆ ในแต่ละระดับผม เป็นอีกหนึ่งทรงที่ดูดีได้โดยไม่ต้องเซ็ตผมนานๆ เลย!!
ทรงที่ 9 – The Ivy League
ขอบคุณภาพจาก: Mens Haircuts
ทรงนี้จะคล้ายกับทรง Crew Cut เพียงแต่ส่วนด้านข้างจะแตกต่างกัน จุดเด่นของทรงนี้ก็คงหนีไม่พ้นผมด้านบนที่ไม่ยาวมาก ทำให้ดูแลรักษาได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถเซ็ตผมได้ง่ายอีกด้วย เพราะที่ต้องทำมีเพียงปาดผมไปด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเซ็ตผมมากนัก เหมาะกับคุณผู้ชายที่ต้องเร่งรีบในการไปทำกิจกรรมต่างๆ ในทุกวัน
ทรงที่ 10 – The High and Tight
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
ยังคงอยู่กับทรงผมขนาดสั้นโดยทรงนี้มีชื่อว่า The High and Tight ที่จุดเด่นอยู่ที่ผมด้านบนและด้านหน้าที่สั้น และด้านข้างที่สั้นกว่า เป็นอีกหนึ่งทรงที่เข้ากับผู้ชายแทบทุกคนเลย มอบความเท่และความคูลให้กับคุณได้โดยที่ไม่ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษอะไรมากมาย แถมยังไม่ต้องเซ็ตให้ยุ่งยากอีกด้วย
ทรงที่ 11 – The Side Part
ขอบคุณภาพจาก: tootsale
มาดูทรงผมยอดนิยมในหมู่ Business Man กันบ้าง กับทรงที่เรียกว่า The Side Part นั่นเอง จริงๆ แล้วทรงนี้ก็คือทำให้ผมด้านบนนั้นปัดไปทางด้านใดด้านหนึ่งนั่นเอง ซึ่งการจะทำทรง The Side Part ให้ออกมาดูดีที่สุด คุณต้องให้ช่างทำผมด้านข้างของคุณให้มีการไล่ระดับด้วย โดยลุคที่ได้ของทรงนี้ก็คือเนี้ยบ มีระดับ และดูเป็นสุภาพบุรุษสุดๆ
ทรงที่ 12 – The Messy Hair
ขอบคุณภาพจาก: luxuo
ทรงผม Messy Hair เป็นอีกผมอีกทรงหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยจุดเด่นของทรงนี้ก็คือการเซ็ตผมด้านบนนั้นดูยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งออกจากที่นอนนั่นเอง ทรงผมนี้เหมาะกับหนุ่มๆ ที่ต้องการลุคเซอร์ๆ หน่อย และยังเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับใบหน้าของคุณอีกด้วย เป็นทรงผมที่เหมาะกับการเดตสุดๆ
ทรงที่ 13 – The Mohawk (โมฮอว์ก)
ขอบคุณภาพจาก: luxuo
ต่อมานั่นก็คือทรงผมที่หนุ่มๆ น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับทรง Mohawk นั่นเอง โดยจุดเด่นของทรงนี้คือผมด้านข้างซ้ายขวาที่สั้นมากๆ ส่วนตรงกลางจะเป็นผมยาวที่ไล่ระดับจนถึงด้านหลังและจะมีการเซ็ตให้ตั้งตรงขึ้นไป ทรงนี้จะทำให้คุณดูเป็นร็อคเกอร์ และดูดี มีสไตล์สุดๆ
ทรงที่ 14 – The Spiky Hair
ขอบคุณภาพจาก: Men Hairstylist
สำหรับใครที่มีผมที่ยาวหน่อย แนะนำเป็นทรงนี้เลย นั่นก็คือ Spiky Hair นั่นเอง โดยลักษณะของทรงนี้นั่นก็คือการเซ็ตผมตรงการให้เป็นหนามแหลมนั่นเอง ส่วนผมด้านข้างนั้นแล้วแต่คุณจะออกแบบเลย แต่ถ้าให้มาดามแนะนำก็ให้คุณไล่ระดับเส้นผมจะออกมาดูดีสุดๆ อย่างไรก็ตามทรงผมนี้ก็ข้อเสียด้วย ดังนี้
- เสียเวลาเซ็ตผมนานมากๆ และใช้เจลเยอะ
- ต้องคอยดูแลรักษาผมในทุกค่ำคืน ไม่อย่างนั้นผมจะเสียเอาได้ง่ายๆ จากต้องเซ็ตผมนั่นเอง
ทรงที่ 15 – The Disconnected Pompadour
ขอบคุณภาพจาก: Pinterest
ปิดท้ายกันด้วยทรงผมที่เท่สุดๆ อย่าง Disconnected Pompadour ที่การผสมผสานระหว่างทรงผมที่เป็น Disconnected และ Pompadour นั่นเอง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- Disconnected – เป็นทรงผมที่ด้านข้างและด้านบนไม่มีการเชื่อมต่อหรือไล่ระดับหากัน เป็นการตัดเปิดข้างแบบ Undercut ไล่ขึ้นไปจนถึงแนวผมที่ต้องการ สังเกตได้ง่ายๆ คือผมด้านบนและด้านข้างจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- Pompadour – คือการเซ็ตให้ผมด้านบนถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบโดยปัดออกจากหน้าผากแบบม้วนๆ
เมื่อนำทั้งสองอย่างมารวมกันก็จะกลายเป็นทรง Disconnected Pompadour ที่คลาสสิคและมีความวินเทจสุดๆ ราวกับย้อนไปในปี 50 เลยทีเดียว ถ้าใครชอบแนววินเทจห้ามพลาดเลยในหน้าหนาวนี้
ผลิตภัณฑ์จัดแต่ง & ดูแลเส้นผมจาก Central App
เอาล่ะ!! ได้ไอเดียในการไว้ทรงผมในช่วงหน้าหนาวไปแล้ว ก็อย่าลืมดูแลรักษาให้ดีด้วย ในวันนี้มาดามก็ได้ขน ผลิตภัณฑ์จัดแต่ง & ดูแลเส้นผมจาก Central App มาให้คุณได้เลือกช้อปกันด้วย ดังนี้
MARLIES MOLLER
เจลจัดแต่งทรงผม Modelling Matt Paste ขนาด 125 มล.
ราคา: 1,550 บาท
PHILIPS
ปัตตาเลี่ยนตัดผม รุ่น HC3525/15 สีดำ
ราคา: 1,490 บาท
DYSON
ไดร์เป่าผม Supersonic™ รุ่น HD08 สี Nickel / Copper
ราคา: 16,900 บาท
นี่ก็คือทรงผมทั้ง 15 ทรงที่มาดามนำมาแนะนำในวันนี้ ได้ทรงที่ถูกใจหรือเปล่า!? อย่าลืม Comment ไว้ให้มาดามรู้ด้วยนะ สำหรับใครที่อยากไปช้อปปิ้งกันต่อ สามารถไปช้อปกันได้เลยที่ Central Online แหล่งรวมสินค้าพรีเมี่ยมที่มีให้คุณเลือกอย่างหลากหลาย