“ฝุ่น PM 2.5” ภัยร้ายใกล้ตัวที่เรามองไม่เห็น รวมไปถึงไวรัส แบคทีเรียตัวร้าย ที่แฝงอยู่ในเมืองและเราต้องเผชิญหน้ากับมันทุกวัน ยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ที่เราต้องทำงานที่บ้านแล้ว เครื่องกรองอากาศ หรือ เครื่องฟอกอากาศ จึงกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นไปซะแล้ว แต่การเลือกเครื่องกรองอากาศที่จะสามารถฟอกอากาศภายในบ้านหรือในคอนโดนั้น จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะนำมาใช้ รวมถึงคุณสมบัติต้องตรงตามที่เราต้องการ วันนี้ Central Inspirer จึงได้รวบรวมเทคนิคดีๆ สำหรับการซื้อเครื่องกรองอากาศที่จะช่วยกรองอาการบริสุทธิ์ให้พื้นที่ในบ้านหรืออาคารของเพื่อนๆ ได้อย่างตอบโจทย์ที่สุด มาดูกันดีกว่าว่าก่อนเลือกซื้อเราต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง
เคล็ดลับการเลือกเครื่องกรองอากาศ
- คำนวนพื้นที่ขนาดห้องที่ต้องการจะติดตั้งเครื่องฟอกอากาศไว้ก่อนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
- ตรวจสอบค่า CADR ที่จะบ่งบอกว่า เครื่องสามารถฟอกอากาศได้เร็วแค่ไหนภายใน 1 ชั่วโมง ค่ายิ่งมากยิ่งแปลว่ากรองอากาศได้สะอาดไว
- เน้นรุ่นที่มีแผ่นกรองแบบ HEPA ที่กรองฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน เพื่ออากาศที่สะอาดกว่า 99.97%
- ดูให้ดีว่าระดับเสียงเวลาทำงานเงียบแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้ฟอกอากาศในห้องนอน
- ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ก็เราต้องเปิดใช้ตลอดนี่นะ ต้องดูว่าประหยัดไฟมั้ย แผ่นกรองอากาศราคาแพงหรือเปล่า
แล้วรุ่นไหนดีล่ะ? นี่เลยเครื่องกรองอากาศ รุ่นดีรุ่นเด่น ที่เราแนะนำ
1. XIAOMI เครื่องฟอกอากาศ รุ่น 3H
ตัวอัพเกรดจากรุ่นยอดนิยม (Mi 2s) มาพร้อมประสิทธิภาพที่ดียิ่งกว่า เพราะสามารถกรองอากาศได้ไวสุดๆ ให้อากาศบริสุทธิ์ ถึง 6330 ลิตร ต่อนาที ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพในห้องขนาดไม่เกิน 45 ตารางเมตร ตัวนี้มีจอ OLED บอกคุณภาพอากาศ และระบบทัชสกรีนในตัวด้วยแหละ หรือจะสั่งงานผ่าน App ก็ได้ด้วยนะ
ข้อดีอีกอย่างของ เครื่องกรองอากาศ Xiaomi ก็คือ มีอะไหล่แผ่นกรองอากาศให้เลือกหลายแบบ หาซื้อง่าย แถมมีแผ่นกรอง HEPA ติดมาให้เลย ทำให้สามารถกรองฝุ่นอนุภาคเล็กที่มองไม่เห็นได้ถึง 0.3 ไมครอน มั่นใจได้เลยว่าอากาศในห้องสะอาดถึง 99.97 เปอร์เซ็นต์ แถมมีเซนเซอร์ตรวจจับแบบเลเซอร์ แม้จะมีมลภาวะเพียงน้อยนิดก็ตรวจจับได้ ระดับเสียงก็เงียบแบบสุดๆ ที่ 32 เดซิเบล เปิดไปนอนไปเงียบๆ สบายๆ
2. SHARP เครื่องฟอกอากาศ รุ่น FP-J30TA-A
เครื่องฟอกอากาศจากชาร์ปตัวนี้ มีดีที่ระบบฟอกอากาศพลาสม่าคลัสเตอร์แบบเข้มข้นที่มีเฉพาะชาร์ปเท่านั้น แจ่มตรงนี้แหละ เพราะมันสามารถปล่อยประจุบวกและลบ ออกมาเพื่อทำลายสารก่อภูมิแพ้ เชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่อยู่ในอากาศได้โดยตรง พลังลมแรงดูดก็แรงสะใจทำความสะอาดอากาศได้รวดเร็ว
ทั้งยังมีแผ่นกรอง HEPA คุณภาพสูงที่กรองฝุ่น PM 2.5 หรือเล็กกว่าได้ถึง 0.3 ไมครอนได้อีก ไม่เพียงแค่นั้น สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ชอบกลิ่นอับชื้น กลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือขนสัตว์เลี้ยง เจ้าตัวนี้ก็กำจัดได้ดีไปอีก ข้อดีอีกอย่างก็คือมันทำงานง่ายไม่ยุ่งยาก ฆ่าเชื้อโรคได้สารพัด แต่ข้อเสียก็คือไม่มีตัวบอกคุณภาพอากาศ และถ้าจะให้ดีต้องทำงานในห้องพื้นที่ไม่เกิน 23 ตารางเมตร ซึ่งค่อนข้างจำกัดเลยแหละ แต่จากข้อดีข้างต้นต้องบอกเลยรุ่นนี้ เหมาะสำหรับคนแพ้ง่าย และคนชอบเลี้ยงสัตว์ในห้องสุดๆ
3. PHILIPS เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ GoPure รุ่น GP3211
ไม่ใช่แค่ในห้องเท่านั้นนะ ที่จำเป็นต้องมีเครื่องกรองอากาศ เพราะพื้นที่ในรถที่หลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนนก็จำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศด้วยเช่นกัน แนะนำนี่เลย PHILIPS GoPure รุ่น GP3211 เครื่องฟอกอากาศตัวเล็กๆ ที่ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม ด้วยค่า CADR อยู่ที่ 16 ลบ.ม./ชม. ทำให้กรองฝุ่นความละเอียดระดับ PM2.5 ได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาแค่ 10 นาทีเอง
ไม่เพียงแค่ฝุ่นเท่านั้นนะที่เราต้องเผชิญในระหว่างขับรถ ควันจากไอเสียรถยนต์ก็สามารถผ่านเข้าสู่ห้องโดยสารได้ แต่เพื่อนๆ ไม่ต้องห่วง ด้วยเทคโนโลยี Select Filter Plus มันจึงสามารถกำจัดควันไอเสีย อย่างไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ได้ออกไซด์ และก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ได้สบายๆ แถมมีเซนเซอร์ตรวจจับ ที่สามารถบอกคุณภาพอากาศได้แบบรีลไทม์ ผ่านไฟ LED และสำหรับสาวๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะติดตั้งยาก เพราะด้วยสายชาร์จที่ยาวถึง 2 เมตร ทำให้เราหาที่วางในรถได้ตามใจ จะวางตรงไหนก็ซ่อนสายเก็บได้สะดวก ใครต้องเดินทางบนรถยนต์บ่อยๆ รถติดนานๆ บอกเลยตัวนี้ตอบโจทย์
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเครื่องกรองอากาศ 3 รุ่น 3 แบบที่แนะนำกันไป เรียกได้ว่าเด่นดีเวรี่กู๊ดเลยใช่มั้ยคะ สุดท้ายฝากไว้อีกนิด ถ้าอยากจะซื้อเครื่องกรองมาฟอกอากาศให้บริสุทธิ์กันทั้งที ก็ต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่ที่จะนำมาใช้กันหน่อยนะ เพราะเครื่องฟอกอากาศจะทำงานได้เต็มที่เมื่ออยู่ในขนาดพื้นที่ที่แต่ละรุ่นกำหนดไว้เท่านั้น หวังว่าเคล็ดลับต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เลือกหาเครื่องฟอกอากาศได้ตรงใจ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างมั่นใจทุกวันนะคะ